งานระบบป้องกันอัคคีภัยภายในอาคาร เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญในเช็คลิสต์ของการก่อสร้างอาคารที่จำเป็นต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะเป็นเรื่องของมาตรฐานระบบดับเพลิงตามข้อกำหนดทางกฎหมายแล้ว ยังเป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับการใช้งานของผู้คนจำนวนมาก เพราะฉะนั้น ปลอดภัยก่อนอุ่นใจกว่าแน่นอน

การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความเสียหายจากอัคคีภัย การจัดการระบบอัคคีภัยที่ถูกต้องตามหลักจึงเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ขั้นตอนการส่งสัญญาณเตือนภัย การติดตั้งระบบควบคุมเพลิงในอาคาร รวมไปถึงงานระบบท่อเพื่อการลำเลียงที่จะต้องได้มาตรฐาน คงทนแข็งแรง พร้อมสำหรับการใช้งานยามฉุกเฉินอยู่เสมอ การวางแผนที่ดีทั้งหมดนี้ ก็เพื่อการเสริมสร้างอาคารที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานทุกคน

มาตรฐานของท่อ Figuard โดย Pacific Pipe

(ภาพโดย Michael Skok)

ท่อดับเพลิง FiGuard ทั้งสองรุ่นการันตีด้วยคุณภาพของท่อเหล็กกล้า ซึ่งผลิตภายใต้ข้อกำหนดมาตรฐานที่ระบุว่าจะต้องเชื่อมตะเข็บท่อด้วยวิธี ERW (Electric-Resistance-Welded) ด้วยเทคนิควิธีการของทาง Pacific Pipe ด้วยการอบอ่อนที่เลือกได้ทั้งบริเวณตะเข็บท่อ หรือท่อทั้งท่อน เพื่อสลายโครงสร้างของเฟสมาร์เทนไซท์ตกค้างโดยรอบ เพื่อให้เหมาะสมและถูกต้องตามมาตรฐานของการใช้งาน

ความใส่ใจในตะเข็บท่อยังเข้าไปถึงด้านในท่อ ด้วยการทำผนังให้เรียบ จึงช่วยลดการไหลวนภายใน เพื่อให้ของเหลวภายในท่อไหลได้สะดวกขึ้น

ท่อ FiGuard ได้รับการรับรองมาตรฐานประกันความเสี่ยงจากภัยอุตสาหกรรมและการบริหารจัดการ หรือ FM และถูกระบุอยู่ในมาตรฐานการติดตั้งระบบดับเพลิงชนิดโปรยน้ำฝอย (NFPA13) และระบบดับเพลิงชนิดสายสูบ (NFPA14) โดยตัวท่อมีให้เลือกทั้งท่อดำ ท่อเคลือบสีรองพื้นกันสนิม และท่อชุบสังกะสี

รวมทั้ง FiGuard เอง ยังมีให้เลือกหลากหลายตามระดับความต้องการใช้งานที่แตกต่าง ทั้ง FiGuard ที่ทนทานต่อแรงดันน้ำมากกว่า 4 เท่าของแรงดันปกติ, FiGuard Plus ที่เสริมความแข็งแรงของตะเข็บท่อตลอดความยาวทั้งเส้น และ FiGuard Premium กรณีต้องการเสริมความแข็งแกร่งของเนื้อเหล็กทั้งเส้นขึ้นอีกขั้น

ทำความรู้จักท่อ

FiGuard-10 และ FiGuard-40 เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม

FiGuard-10 และ FiGuard-40 คือท่อเหล็กกล้าสำหรับระบบดับเพลิงมาตรฐานจาก Pacific Pipe สำหรับใช้ในงานจัดการระบบอัคคีภัยในอาคารโดยเฉพาะ ตั้งแต่คุณภาพของวัสดุและกระบวนการผลิต ก่อนไปถึงการติดตั้งบนพื้นที่อาคารจริง

คุณสมบัติเด่นของ FiGuard-10 ด้วยผนังท่อที่บาง จึงใช้กำลังไฟต่ำในการเชื่อม และเชื่อมเพียง 1 รอบก็สามารถประกอบและติดตั้งท่อได้อย่างรวดเร็ว จึงประหยัดทั้งค่าไฟ แรงงาน และเวลา ด้วยวัสดุท่อเหล็ก ASTM A795 sch 10 เกรด B รองรับแรงดันขณะใช้งานที่ 300 PSI และผลจากแรงดันน้ำขณะทดสอบได้ 1,200 PSI

ในขณะที่ FiGuard-40 เป็นท่อเหล็กกล้าที่ผ่านมาตรฐาน FM พร้อมกับได้รับใบรับรองด้านความปลอดภัย (UL) จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยความโดดเด่นอยู่ที่ท่อวัสดุเหล็ก ASTM A53 sch 40 เกรด B รองรับแรงดันขณะใช้งานที่ 300 PSI และผลจากแรงดันน้ำขณะทดสอบได้มากถึง 2,210 PSI 

ความแตกต่างของทั้งสองรุ่น ยังเป็นเรื่องของการเตรียมปากท่อหลากหลายรูปแบบ รองรับการติดตั้งด้วยวิธีที่แตกต่าง ทั้งการเชื่อม การกดร่อง สำหรับ Figuard-10 และพิเศษสำหรับ Figuard-40 ที่รองรับการต๊าปเกลียว และการเซาะร่องด้วย

ครอบคลุมงานท่อดับเพลิง ด้วยโซลูชั่นจาก Pacific Pipe

(ภาพโดย Juliana Kozoski)

นอกจากมาตรฐานของตัวท่อที่เหมาะกับงานระบบปัองกันอัคคีภัยตามความต้องการที่หลากหลายแล้ว Pacific Pipe ยังมีบริการเพื่อความสะดวกสำหรับการใช้งานและติดตั้ง ครอบคลุมตลอดการใช้งาน

ทั้งบริการเคลือบสีรองพื้นกันสนิม ทั้งสูตรน้ำและสูตรน้ำมัน, บริการตัดตามความยาวที่ต้องการ, บริการเจาะร่อง ประกอบหัว Sprinkler, บริการ Fabrication ตัด บาก เจาะ เซาะร่อง ไปจนถึงการประกอบชิ้นงาน และจัดหาอุปกรณ์ประกอบต่างๆ อย่างครบครัน ไปจนถึงบริการถอดแบบ ทั้งงานโครงสร้างและงานระบบ เพื่อให้การติดตั้งท่อเหล็กกล้าเป็นไปตามมาตรฐาน และอุ่นใจตลอดการใช้งานท่อเหล็กกล้าสำหรับระบบดับเพลิงของ Pacific Pipe

และสำหรับผู้ที่สนใจงานท่อเหล็กกล้า FiGuard-10 และ FiGuard-40 สำหรับงานเขียนแบบก่อสร้าง สามารถดาวน์โหลด Object ของทั้งสองรุ่นจาก BIMobject ได้หรือ สนใจท่อเหล็กสำหรับงานโครงสร้างและงานระบบอื่นๆได้ BIMobject