BIM กำลังเข้าสู่ยุคใหม่

BIM มีความเกี่ยวข้องกับการออกแบบและการก่อสร้างมาตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการใช้ BIM อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในวงการออกแบบสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และการก่อสร้าง ปัจจุบันทักษะการใช้ BIM โดยเฉพาะการสร้าง File BIM ในลักษณะของการเขียนแบบก่อสร้าง เป็นทักษะที่บัณฑิตปริญญาตรีหลายมหาวิทยาลัยมีเป็นปกติ.  เจ้าของโครงการไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่จะมีการระบุใน ToR ให้มีการส่งแบบเป็น BIM File ทั้งในขั้นตอนการออกแบบที่เป็นแบบก่อสร้าง (Construction Document) และที่เป็นแบบเหมือนสร้าง (As-Built Documents) ในสมัยก่อน ToR จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของ BIM File ที่ส่งน้อยมาก ปัจจุบัน ToR เริ่มถูกพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความเข้าใจ บาง ToR มีรายละเอียดลงลึกไปถึงข้อมูล Database ที่ประกอบ BIM และเริ่มพิจารณาถึง “การจะเอา BIM File ไปใช้ในการบริหารจัดการสินทรัพย์” หลังจากที่การก่อสร้างเสร็จสิ้นลงแล้ว สินทรัพย์ที่กล่าวถึงดังกล่าวหมายถึง สินทรัพย์ที่เป็น อาคาร สาธารณูปโภค หรือ เมือง ที่ BIM มีความเหมาะสมในการบันทึกข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากอาคารใหม่ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกของ BIM แล้ว อาคารเดิมที่มีอยู่ใน Portfolio ขององค์กรก็จะถูกปรับเข้าสู่โลกของ BIM ด้วย เจ้าขององค์กรในปัจจุบันที่เป็นยุคของ “Digital Transformation” ค้นพบแล้วว่า หนึ่งในประเด็นสำคัญที่จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง คือเรื่องของ ข้อมูลสินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่จะต้องถูกปรับให้เป็น Digital ด้วย เช่นเดียวกับเรื่องของบัญชี การเงิน หรือการจัดการอื่นๆ ความยากลำบากคือการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ แบบอาคาร หรือแบบสาธารณูปโภคนั้น มีความสลับซับซ้อนและเป็นวิชาการเฉพาะด้านที่ต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพจึงจะมีความเข้าใจ นอกจากนี้ในสมัยก่อน การเปลี่ยนแปลงข้อมูลของสินทรัพย์เหล่านี้มีน้อยมาก จนเรียกได้ว่าเป็น “สินทรัพย์ถาวร” (ตรงข้ามกับสินทรัพย์หมุนเวียน) แต่ในโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์ และบริการนั้น การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของอาคาร หรือสาธารณูปโภค มีอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับปรุง ต่อเติม หรือเปลี่ยนการใช้สอย ของพื้นที่ เพราะโลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก การบันทึกข้อมูลของสินทรัพย์ที่เป็นอาคาร หรือสาธารณูปโภคจึงมีความท้าทายอย่างมาก และ BIM คือคำตอบของความท้าทายดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้เจ้าขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์ มีความต้องการใช้ BIM เพื่อตอบโจทย์นี้

BIM กำลังกลายไปเป็น “ฐานข้อมูล” สำหรับ การนำไปใช้ในการบริหารสินทรัพย์ ที่เป็นอาคาร สาธารณูปโภค

แนวโน้มการใช้ BIM เพื่อมาเป็น “ข้อมูลกลาง” ในการบริหารจัดการสินทรัพย์ ที่เป็น อาคาร สาธารณูปโภค หรือเมือง เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากเจ้าของหรือผู้บริหารองค์กร เล็งเห็นประโยชน์ ดังต่อไปนี้

  1. ลบกระดาษออกจากการบันทึกแบบ – ในสมัยก่อน แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาช่วยในงานบริหารอาคารแล้ว แต่การบันทึกแบบก่อสร้างยังเป็นไปในแบบที่เป็นกระดาษขนาดใหญ่ และวางไว้กลางห้องช่าง หรือห้องฝ่ายอาคาร เวลาที่จะต้องมีการปรับปรุงใดๆ ก็ต้องเปิดกระดาษกันโดยตรง เป็นความไม่สะดวกในการเข้าถึงข้อมูล – BIM จะทำให้เข้าเข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ในรูปแบบที่เป็นทั้ง 2D และ 3D รวมถึงข้อมูล Specification และเอกสารประกอบ สามารถเป็น Digital ได้ทั้งหมด
  2. As Built ที่ถูกปรับเปลี่ยนแก้ไขได้อย่างสะดวก – ปัญหาของ As-Built Document ในยุคก่อนที่เป็นกระดาษ คือไม่สามารถูกปรับปรุงแก้ไขใดๆ ได้ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนมาบันทึก As-Built เป็น BIM จะทำให้การปรับปรุงแก้ไขเป็นไปได้อย่างสะดวกและมีการบันทึกเส้นทางการแก้ไขที่ชัดเจน ทำให้สะท้อนแบบกับสภาพอาคารที่ถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องนั้น ถูกต้อง ตรงกัน และ ทันสมัย
  3. เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลอื่นๆ ได้ – โดยสภาพวะของความเป็น Database ของ BIM ที่มีข้อมูลในลักษณะที่เป็น Text กับ ตัวเลข หรือที่เรียกว่า Non-Graphical Information นั้น ทำให้การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลอื่น (Synchronization) เกิดขึ้นได้ ข้อมูลลักษณะอื่นที่เกี่ยวข้องกับ อสังหาริมทรัพย์ เช่น ชื่อผู้เช่าพื้นที่ หรือ อัตราค่าเช่าของพื้นที่ มักจะเป็นข้อมูลที่อยู่ในอีกระบบหนึ่ง เช่นระบบบัญชีการเงิน หรือการขาย เมื่อมีการใช้ BIM แล้วข้อมูลเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงตรงมาที่ BIM Model ได้ เพื่อใช้ในการบริหารอาคาร หรือ อีกด้านหนึ่ง ข้อมูลที่สะท้อนจากทางกายภาพ ที่เรียกว่า Graphical Information ก็สามารถสะท้อนกลับไปยัง ระบบอื่นได้โดยตรง เช่น พื้นที่ขาย หรือ ความสูงของห้อง เป็นต้น ทำให้ภาระในการ Update ข้อมูล ให้ตรงกัน ข้ามระบบหมดไป
  4. สร้างระบบอัตโนมัติได้ – เมื่อทั้งหมดมีความเป็นฐายข้อมูล การสร้างระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยในการทำงาน เช่นระบบการแจ้งเตือน ย่อมทำได้ เช่น การแจ้งเตือนการ ซ่อมบำรุง สะท้อนใน BIM Model ว่าเครื่องจักรเครื่องใด ยังไม่ได้ดำเนินการซ่อม ทำให้ผู้ที่รับผิดชอบสามารถเล็งเห็นตัวเครื่องจักรในตำแหน่งที่ถูกต้องของอาคารได้ทันที เป็นต้น

โดยทั้งหมดนี้ จะต้องมี Software ที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว และไม่ใช่ Software ที่ใช้ในการ “สร้าง File BIM” หรือ “เขียนแบบ BIM” ต้องเป็น Software ที่นำ BIM File ไปใช้วางเป็นแกนกลางเพื่อเชื่อมโยง ข้อมูลอื่นๆ ของการบริหารจัดการสินทรัพย์ และ นั่นคือการเข้าสู่ยุคของ “Digital Twin”

Digital Twin คือ พัฒนาการของ BIM ในขั้นต่อไป

Digital Twin ไม่ใช่ปรากฎการณ์ใหม่ในโลกเทคโนโลยี แต่เป็นปรากฎการณ์ ที่มีมานานแล้ว ในอุตสาหกรรมอื่นๆ มีการใช้มานาน อย่างต่อเนื่อง เช่น การแพทย์ การพลังงาน หรืออากาศยาน เป็นต้น แต่ในอุตสาหกรรม ของ อาคาร สาธารณูปโภค หรือ เมืองนั้น เพิ่งเริ่มเป็นตัวตนอย่างชัดเจนไม่กี่ปีมานี้

สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญมากที่ทำให้ข้อมูลสะท้อนความเป็นจริง ในลักษณะของ Digital Twin คือการบันทึกข้อมูลจากหน้างานให้เป็น Real Time โดยการบันทึกดังกล่าว ไม่สามารถทำได้ในลักษณะ Manual หรือใช้คนบันทึก ต้องการบันทึกโดยคอมพิวเตอร์เท่านั้น และนั่นคือบทบาทสำคัญของ Internet of Things (ioT)

Internet of things คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก หรือ ตัวส่งสัญญาณขนาดเล็กที่มีหน้าที่หลัก ได้แก่ การบันทึกข้อมูลเฉพาะเรื่องที่ถูกติดตั้งไว้ เช่น การไหลของน้ำ การใช้งานของเครื่องจักร และส่งรายงานผลการบันทึกดังกล่าวนั้น เข้าสู่คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการประมวลผล

ในกรณีของ Digital Twin สำหรับอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็น อาคาร สาธารณูปโภค หรือเมือง  รวมผลจาก ioT ที่เป็นเครื่องจักรสำคัญ เช่น ระบบปรับอากาศ หรือ ระบบน้ำ หรือระบบรักษาความปลอดภัย หรือ การเคลื่อนที่ของคน เป็นต้น มาบันทึกในตำแหน่งของ BIM แล้ว นำไปประมวลผลโดยใช้ Data Anlytics เพื่อน้ำข้อมูลไปใช้ ข้อมูลที่มาจาก BIM คือข้อมูลที่อยู่นิ่ง (Static Data) ที่จะต้องถูกบริหารจัดการ ปรับปรุงแก้ไข โดยมืออาชีพ ส่วนข้อมูล จาก ioT คือข้อมูลที่ต่อเนื่อง (Dynamic Data) ถูกส่งต่อจาก Sensor และต้องมีการบันทึกเป็น Log การบริหารจัดการข้อมูลสองลักษณะนี้ มีความแตกต่างกัน

การนำ BIM มาเป็นแกนกลางในการเชื่อมกับ ฐานข้อมูลอื่นๆ หรือ Data ลักษณะอื่นๆ เพื่อสะท้อนภาพความเป็นจริงของ สินทรัพย์ ที่เป็นอาคาร หรือ สาธารณูปโภค หรือเมือง ให้ถูกต้องตรงกันตลอดเวลาคือ หลักคิดของ Digital Twin และต้องมี Software ที่นำ BIM File ไปวางไว้ ณ แกนกลาง เพื่อเชื่อมข้อมูลอื่นๆ เข้าหากัน

การใช้ Digital Twin บนพื้นฐานของ BIM จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรได้แก่

  1. ลดคนทำงาน – การทำงานในลักษณะของ Preventive Maintenance ที่ยึดตาม Schedule และต้องให้คนไปเดินตรวจ และเปลี่ยนอุปกรณ์ตามเวลา จะเปลี่ยนไป เป็นลักษณะของ Condition Maintenance เนื่องจากการรายงานข้อมูลของเครื่องจักรสำคัญ จะถูกส่งเข้ามาตลอดเวลา และมีการประมวลผลอัตโนมัติ ทำให้เมื่อเครื่องจัก “ใกล้เสียหาย” ก็ค่อยส่งคนไปดำเนินการได้ และ คนที่ไปดำเนินการ ก็ไม่ต้องอยู่ประจำเพื่อทำความเข้าใจอาคารอย่างใกล้ชิด สามารถส่งคนที่ไม่เคยรู้จักอาคารสถานที่ดังกล่าวมาก่อนเข้าไปได้ เพราะ BIM จะเป็นเครื่องนำทางให้ไปสู่ตำแหน่งนั้นๆ ได้อย่างชัดเจน
  2. ข้อมูลที่มาอย่างทันท่วงที – ข้อมูลที่มาอย่างทันท่วงทีมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดโดยเฉพาะในเวลาที่ อาคาร หรือสาธารณูปโภคประสบเหตุการณ์ฉุกเฉิน ระบบ Digital Twin ที่รายงานเพลิงไหม้ รายงานสถานการณ์น้ำท่วมหรือรายงาน การอพยพได้อย่างตรงตามความเป็นจริงจะทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก ลดความเสียหายของชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
  3. วิเคราะห์เพื่อค้นพบสิ่งใหม่ – ข้อมูลที่ถูกบันทึกอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบและนำมาประมวลผลและวิเคราะห์ จะทำให้เกิดการค้นพบสำคัญเสมอ เช่น การประหยัดพลังงาน การจัดการเส้นทางการเดิน หรือโอกาสทางการค้า อื่นๆ ที่เจ้าของสามารถเล็งเห็นได้